ธรรมะคนกรุง

มุมมองด้านศาสนธรรมกับชีวิตคนเมืองหลวง..ประเทศไทย


จาก.."สวัสดีกรุงเทพฯ" รายสัปดาห์
My Photo
Name:
Location: สวนเมตตาธรรม, เชียงใหม่, Thailand

Monday, June 27, 2005

ความตาย..อันไกลโพ้น?



.......................


ความตาย..อันไกลโพ้น?

ระยะที่ผ่านมา แม้ไม่นานนักนี้ ผู้เขียนเผชิญหน้ากับ ความตาย และ การตาย ของคนใกล้ชิดหลายต่อหลายครั้ง ด้วยเหตุและปัจจัยแตกต่างกันออกไป ด้านหนึ่งคงเป็นเพราะวัยสูงขึ้น แต่อีกด้าน อาจเพราะมีการงานอันเนื่องอยู่ด้วยผู้คนจำนวนมาก

ทำนองว่า รู้จัก คนเป็น มาก ก็รู้จัก คนตาย มาก เป็นธรรมดา...

นี่กล่าวเฉพาะความตายอันใกล้ชิด ความตายอันเป็นที่รู้จัก ซึ่งเกิดขึ้นกับ มิตรสนิท อันคุ้นเคย มิได้รวมถึง ความตาย หรือ การตาย อื่นๆ ซึ่งผ่านหูผ่านตาโดยสื่อ หรือการบอกเล่าของผู้คน

บางคนจากไปด้วยโรคร้ายประเภทสามัญ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ หรือความป่วยไข้อันเป็นที่รู้จักกันดี บางคนก็เจ็บป่วยล้มตายด้วยอาการของโรคแปลกๆ ชนิดใหม่ๆ ที่แทบไม่เคยรู้จักมาก่อน

ขณะเดียวกัน บางคน ก็จากไปด้วยเรื่องราวที่คาดไม่ถึง อาทิ การฆาตกรรมอำพราง ซึ่งผู้เขียนแม้เคยรับรู้มาบ้าง ก็เพียงจากหนังสือ หรือภาพยนตร์สืบสวนสอบสวนบางเรื่อง ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องประสบกับ เรื่องจริง อันโหดร้ายและสะเทือนขวัญ แถมยังซับซ้อนซ่อนเงื่อนถึงขนาดนั้น

ความตายของ พระสุพจน์ สุวโจ ซึ่งเกิดขึ้นที่ สถานปฏิบัติธรรม สวนเมตตาธรรม อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ และเป็นข่าวเกรียวกราวอยู่ระยะหนึ่ง เป็นความตายประเภทท้ายสุด ที่ยกมาบอกเล่าไว้ข้างต้น

กล่าวคือ วันร้ายคืนร้าย ก็มีผู้ไม่ประสงค์ดีไม่ทราบจำนวน ทำร้ายเข่นฆ่าพระหนุ่มวัย ๓๙ (พรรษา ๑๓) ด้วยอาวุธประเภทของมีคมไม่ทราบชนิด กระทั่งเกิดร่องรอยฉกรรจ์กว่า ๑๐ แผล ตั้งแต่อุ้งมือซ้าย ไหล่ แขน แก้ม ศีรษะ หน้าผาก-คิ้ว ก่อนจะฟันอย่างแรงที่ลำคอด้านซ้าย ทำให้เกิดบาดแผลกว้างและลึก ความยาวกว่า ๒๐ เซนติเมตร ถึง ๓ แผล ตัดเส้นเลือดใหญ่ขาดสะบั้น

ซึ่งเจ้าหน้าที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์กล่าวว่า เพียง แผลเดียว ก็ยากที่จะ รอดชีวิต ได้อยู่แล้ว

ด้วยสาเหตุเพียงพระรูปนี้ รักป่า และพยายามขัดขวางนายทุนผู้มีอิทธิพล มิให้ทำลายป่าต้นน้ำสายสำคัญของเขตอำเภอฝางจำนวนกว่า ๗๐๐ ไร่ ซึ่งอยู่ภายในบริเวณสถานปฏิบัติธรรมของท่าน

ว่ากันว่า นายทุน กลุ่มนั้น มีมือเท้าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นมาเฟียท้องถิ่น เป็นผู้นำชุมชนผู้มาจากการเลือกตั้ง แถมนายทุนตัวการใหญ่ยังมีตำแหน่งการเมืองในระดับชาติอีกด้วย...

ความตาย-การตาย ก็เรื่องหนึ่ง สาเหตุการตาย ก็เรื่องหนึ่ง คนตาย ก็เรื่องหนึ่ง...

คนฆ่า ก็เรื่องหนึ่ง สาเหตุการฆ่า ก็เรื่องหนึ่ง วิธีการฆ่า ก็เรื่องหนึ่ง คนถูกฆ่า ก็เรื่องหนึ่ง...

จะมองอย่าง แยกส่วน ก็อาจมองได้ แต่จะปฏิเสธ ความเกี่ยวพันเชื่อมโยง นั้นดูจะ ยาก อยูไม่น้อย สำหรับผู้มีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ หรือมีมโนธรรมสำนึกแม้เพียง พอประมาณ

เพราะอย่างน้อยที่สุด ชีวิต และ ความตาย ก็เชื่อมร้อยเหตุปัจจัยเหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน

ว่ากันว่า คนร้าย หรือ มิจฉาชีพ-ทุจริตชน มัก แยกส่วน หรือ ตัดขาด ความสัมพันธ์ ของ เหตุ และ ปัจจัย ออกไปเสียจากกัน เพื่อว่าตนจะมิต้อง เกี่ยวข้อง หรือต้องมานั่ง เมตตา หรือ กรุณา ผู้ใด

กระทั่งสามารถ ฆ่า หรือ ทำร้าย ได้ทุกผู้ทุกคน ไม่ว่า หญิง-ชาย ผู้ใหญ่-เด็ก ญาติสนิท-มิตรสหาย แม้แต่สรรพสัตว์ หรือกระทั่งพระภิกษุสามเณรเถรชี

ฟังดูแล้วแล้วก็ไม่น่าจะ คิดอะไรมาก ใช่ไหม? แต่อยากแนะนำให้ผู้อ่านกลับไปดู หัวเรื่อง หรือ ชื่อบทความ อีกครั้ง

ว่า..ใช่หรือไม่ ที่บ่อยครั้งเรายังคิดว่า ความตาย เป็นเรื่องไกลตัว โดยเฉพาะกับ คนตาย หรือ ความตาย ที่ ไกลตัว...

หรือว่าบัดนี้ เรา กำลัง แยกส่วน

และกำลังเป็น คนร้าย ที่พร้อมจะห้ำหั่น พร้อมจะ ทำร้าย กันและกัน

ยิ่งขึ้นทุกที...

eXTReMe Tracker

Friday, June 17, 2005

รับน้องใหม่

.........................................


รับน้องใหม่

ทุกปี... ในระยะเวลาเดียวกันนี้ จะมีข่าวการ รับน้อง ด้วยความรุนแรง และวิธีวิตถาร ผิดมนุษย์ มาให้เห็น ให้รับรู้ กันอยู่เสมอ หนักบ้างเบาบ้าง มากน้อยขึ้นอยู่กับว่า ขณะนั้นมีข่าวอะไร สำคัญกว่าหรือไม่ ผลของการรับน้องเกิดขึ้นกับใคร หรือหนักหนาสาหัสเพียงใด เป็นประเด็นหลัก

ปีนี้ก็เช่นกัน มีน้องใหม่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์คนหนึ่งถึงกับตัดสินใจฆ่าตัวตายไป ข่าวระบุว่าเขาอึดอัดคับข้องใจกับพฤติกรรมของรุ่นพี่ และประเพณีของสถาบัน ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ที่พี่ๆ กระทำต่อเขาและเพื่อนๆ ซึ่งเห็นว่า ทั้งรบกวนเวลาเรียน และเวลาอ่านหนังสือ มิหนำซ้ำ การ รับน้อง เช่นนั้น ยังละเมิดและแทรกแซงชีวิตส่วนตัวอย่างมาก จนเขาทนไม่ได้ ต้องตัดสินใจเดินทางกลับบ้าน แล้วเลือกปิดฉากชีวิตตนเองด้วยอาวุธปืนของคนในครอบครัว ทิ้งไว้แต่จดหมายขอโทษคุณแม่ ที่ไม่สามารถบวชทดแทนคุณ ดังที่สื่อมวลชนหลายราย หลายๆ ประเภทได้ออกข่าวกันไปแล้ว

ประเพณีการรับน้องใหม่นั้นว่ากันว่านำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา จากคณะเกษตรของมหาวิทยาลัยคอร์แนล ซึ่งมีคณาจารย์ด้านเกษตรกรรมหลายสถาบันไปร่ำเรียน แล้วจดจำแบบอย่างมาประยุกต์ใช้ นัยว่าเพื่อสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และประสานความต่างของคนหนุ่มสาวมากหน้า ตลอดจนทำความรู้จักและแสวงหาแก่นแท้ของแต่ละคน เพื่อการใช้ชีวิตร่วมกันอย่างเกื้อกูล

ข้อมูลนี้จริงเท็จอย่างไรไม่รับรอง แต่ยินดีรับฟังหรือแลกเปลี่ยนกับคนเห็นแย้ง หรือเห็นต่างออกไป

ฟังๆ ดูแล้วคล้ายจะเป็นกิจกรรมในอุดมคติ ที่ให้ผลเลิศอย่างหารอยตำหนิแทบมิได้ ซึ่งถ้าเคยเป็น หรือเคยมีมาเช่นนั้นจริง ก็ออกจะน่าเสียดาย ที่วันนี้ดูท่าว่ามันจะหายหกตกหล่นเสียระหว่างทาง หรือถูกเปลี่ยนรูปแปลงร่างไปเสีย จนคนที่เคย ริเริ่ม หรือผ่านการ รับน้อง มาแต่เดิม ก็แทบจดจำไม่ได้ ว่าที่ตนและเพื่อนๆ พี่ๆ เคยปูทางไว้ ทำไมจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ หรือถึงขนาดนี้...

จะว่าไปแล้ว ในพระพุทธศาสนา ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติ ด้วยกฎแห่งการ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพระไตรลักษณ์ เพียงแต่ หากนำเอาเรื่อง เหตุ และ ปัจจัย ไปเทียบเคียง ก็จะเพิ่มมุมมองพิเศษขึ้นอีกด้าน ว่า..ถ้าไม่อยากให้สิ่งหนึ่งสิ่งใด เสื่อม ก่อนกาลอันควร(เพราะยังมีคุณระโยชน์บางประการ) ก็พึงหลีกเลี่ยง เหตุ-ปัจจัย ฝ่าย อกุศล แล้วส่งเสริมด้าน กุศล ให้มากขึ้น

ปัญหาคงอยู่ที่ว่า ถึงวันนี้ การ รับน้อง เป็นอะไรกันแน่ เป็น กิจกรรมฝ่ายกุศล หรือเป็นเพียง ผล แห่งความอาฆาตจองเวร และตอบสนองความเบี่ยงเบนของรุ่นพี่ๆ ที่ถือเอาช่วงเวลานี้ สำเร็จความใคร่ทางวิญญาณ กันอย่างเพลินอารมณ์

จะอย่างไรก็แล้วแต่ น่าสนใจว่า แม้สังคมจะพากันเรียกร้องต้องการเพิ่มขึ้นทุกที ที่จะขอให้นักศึกษาและรุ่นพี่ในสถาบันต่างๆ ยุติ กิจกรรม อกุศล อันสุ่มเสี่ยงโดยไม่จำเป็นเช่นนี้ไปเสีย แต่ขณะเดียวกัน ทั้งอาจารย์ ฝ่ายกิจการนิสิต-กิจการนักศึกษา หรือกระทั่ง คณบดี-อธิการบดี ตลอดจนรุ่นพี่แทบทั้งปวง กลับเป็นฝ่ายแตะถ่วงหรือพยายามปฏิเสธข้อเรียกร้องเหล่านั้นเสียเอง มิหนำซ้ำ ในกรณีนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรกรณีข้างต้น ตัวบุคคลฝ่ายมหาวิทยาลัย(หรือยืนในฟากเดียวกัน) ถึงกับพยายามโยนความ ผิดปกติ กลับคืนมาให้ผู้ตายไปเสียอีก จึงดูเหมือนว่า นี่ออกจะเป็นปัญหาที่ใหญ่โตและลึกซึ้ง เกินกว่าระดับ รุ่นพี่ กับ รุ่นน้อง ไปเสียแล้ว

การรับน้องใหม่เกี่ยวข้องอย่างไรกับความหมายเชิงคุณภาพของระบบการศึกษาไทย เกี่ยวพันอย่างไรกับวิธีคิดและกระบวนการตัดสินใจของผู้เกี่ยวข้อง ตลอดไปถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรมแบบไทยๆ ฯลฯ ผู้รู้ ทั้งหลายน่าจะศึกษา แล้วให้ ปัญญา กับทุกฝ่ายเพื่อการตัดสินใจในท้ายที่สุด

อย่างน้อย ถ้าเด็กหนุ่มชาวพุทธ ผู้มีแก่ใจขอโทษขอโพยแม่ เรื่องที่ตนจะไม่สามารถบวชแทนคุณมารดาได้ กล้าที่จะปลิดชีพของตน เพื่อ หนี การรับน้อง เหล่าอาจารย์ รุ่นพี่ หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่ง ไม่เคยบวช หรือ ไม่เคยคิดจะบวช ก็ควรจะต้องทบทวนตัวเอง ทบทวนสิ่งที่ตนเกี่ยวข้องเสียที ว่า..

ที่ทำๆ กันอยู่นี้ เพื่อ อะไร หรือเพื่อ ใคร กัน...

eXTReMe Tracker

Saturday, June 11, 2005

เรื่องยาว...

..................................

เรื่องยาว...

ระยะนี้มีเรื่องราวมากมายให้ คนกรุงฯ ได้มีส่วนร่วม แม้จะไม่ได้ เล่นเอง โดยตรง อย่างน้อยที่สุดก็ได้ ร่วมดู-ร่วมชม หรือร่วมติดตามข่าวคราว-ร่วมวิพากษ์วิจารณ์ พอให้หายเครียดกับ ราคาสินค้า-ราคาน้ำมัน ที่ถีบตัวสูงขึ้นอย่างไม่ลดละ-ไม่เลิกรา

หลังจากอิ่มเอมใจกับ นางสาวจักรวาล ชาวแคนาดาเชื้อสายรัสเซีย ที่รู้จักทักทาย-รู้จักไหว้-รู้จักสวัสดี พอให้ประเทศเจ้าภาพยิ้มออก ว่า รูปแบบ ทางวัฒนธรรมของตนก็มีคนชาติอื่นภาษาอื่นเอาไปใช้(บ้าง)อยู่ชั่วขณะ ก็ต้องหันมาหวานอมขมกลืนกับ ข่าวด้านลบ ของรัฐบาลพรรคไทยรักไทยกันต่อไป

ถึงวันนี้ ผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ที่ลงคะแนนให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองนี้ดูจะ หวานอมขมกลืน หรือถึงขนาด กลืนไม่เข้าคายไม่ออก กันทั่วหน้า ค่าที่มีเหตุชวนให้ รู้สึกโง่ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ ถี่ขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ที่เคยเชิดหน้าชูคอหมิ่นแคลน คนเลือกพรรคอื่น หรือ เลือกฝ่ายค้าน-ฝ่ายคานอำนาจ ที่มักเสียดสีใส่กันว่า เลือกข้างแพ้ นั้น เอาเข้าจริง สถานการณ์ชวนให้คิดว่าตัวเอง เลือกข้างผิด ก็กลับมาเกิดขึ้นให้รู้ให้เห็น จนเป็นเรื่องรายวันไปในที่สุด

ข่าวคราวการทุจริตคิดมิชอบหลากหลายประเภทมาเป็นอันดับต้น ข่าวอันเนื่องมาจาก การมีส่วนร่วม หรือ การแทรกแซง ของคนในรัฐบาล หรือคนในพรรครัฐบาลเป็นข่าวรองลงมา ติดตามด้วยบทบาทของ เนติบริกร หรือ เด็กรับใช้ฝ่ายกฎหมาย และล่าสุด เป็นข่าว ความขัดแย้งในพรรค ซึ่งหลายคนกล่าวตรงกันว่า น่าจะ เป็นผลมาจากผลประโยชน์ไม่ลงตัว มากกว่าจะขัดแย้งเพื่อผลประโยชน์ของชาติและประชาชน

จะอย่างไรก็ตาม ในยุคข้อมูลข่าวสาร ซึ่งทุกฝ่ายแย่งชิงกันครอบครองสื่อ และช่วงชิงโอกาสในการใช้ ข่าวสาร-ข้อมูล เป็นอาวุธ ชาวพุทธคนกรุงฯ คงต้องใช้ สติ-ปัญญา-สัมปชัญญะ-สมาธิ ให้มาก และให้บ่อยครั้ง อย่างสม่ำเสมอที่สุดที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็เพื่อมิให้พลัดตก หรือพลัดหลงไปใน ความโกลาหล หรือใน กระแสธาร ของความ จริง-ลวง ที่มิอาจพิสูจน์ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

พุทธศาสนาส่งเสริมมิให้ ชาวพุทธ พากันตื่นเต้น ตื่นกลัว หรือตื่นตูม ไปกับเรื่องราวที่เข้ามากระทบ ในลักษณะ ถือมงคลตื่นข่าว โดยมิได้ตรึกตรอง หรือ ตรวจสอบ-พิสูจน์ทราบ ให้รอบคอบและครอบคลุม

หลักอริยสัจจ์ทั้ง ๔ ประการ สำหรับแยกแยะว่า อะไร คือ ปัญหา-สาเหตุ-เป้าหมาย-ทางออก หรือ ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค ตลอดจน อิทัปปัจยตา และ ปฏิจจสมุปบาท และข้อธรรมอื่นๆ จึงมีความสำคัญด้วยประการฉะนี้ กล่าวคือ สำคัญ ในฐานะ เครื่องมือ ที่จะหยิบจับมาใช้สอย และเทียบเคียง

ไม่ว่าจะใช้เป็นอุปกรณ์ หรือเป็นหลักการ สำหรับช่วย ตรวจสอบ-วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป หรือเพื่อ ถอดบทเรียน มาใช้ก็ตาม

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ว่าสิ่งที่ นางสาวจักรวาล เธอเลือกหยิบจับมาเล่นเพื่อ ชนะใจ กรรมการชาวไทยในฐานะเจ้าของบ้าน เช่น การไหว้ หรือการทักทายว่า สวัสดีค่ะ นั้น ว่าไปแล้ว หากมิใช่สิ่งที่เธอใช้ในชีวิตประจำวัน หรือมิได้เป็นสิ่งที่เธอเข้าใจลึกซึ้ง ก็คงเป็นแต่เพียง รูปแบบ หรือ อุปกรณ์ ในการแข่งขันชิ้นหนึ่งเท่านั้น หาใช่สิ่งที่ต้องนิยมชมชอบอะไรนักหนาไม่

และกล่าวอย่างถึงที่สุดแล้ว กิจกรรมประกวดเรือนร่างของสาวสวยก็เป็นเพียงสิ่งฉาบฉวยชั่วครู่ มิใช่ เรื่องจริง หรือ เรื่องยาว ดังเช่นข่าวคราวที่กล่าวถึงต่อๆ มา

เรื่อง พรรคไทยรักไทย และ คนของพรรคไทยรักไทย นั่นแหละ ที่ คนกรุงเทพฯ จะต้องตั้งอกตั้งใจ ใช้ธรรมะ ของตนให้จงดี

เพราะนี่เป็นเรื่องใหญ่ และอาการขนาดนี้ คงไม่มีโอกาสให้พลาด เลือกซ้ำ อีกแล้วกระมัง...

eXTReMe Tracker

Friday, June 03, 2005

ฝนตกนั้นเปียกได้..

............................................


ฝนตกนั้นเปียกได้..ใจอย่าหม่นหมอง

ฤดูฝนแวะมาเยี่ยมเยียนชาวกรุงอีกครั้งหนึ่งแล้ว พร้อมกับความเปียกปอน ชุ่มฉ่ำ หรือชื้นแฉะ-เลอะเทอะ ฯลฯ แล้วแต่ เรา จะจัดวางตัวเอง กำหนดบทบาท-สถานภาพ หรือจับพลัดจับผลู ผูกติด ตัวเองไว้กับสิ่งใด แค่ไหน และอย่างไร...

หากเป็นชาวสวนชานกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปริมาณน้ำฝนอาจหมายถึงแมกไม้ผลิใบเขียวขจี เป็นที่มาของดอกผลแห่งการ ผลิต และ ค่าตอบแทน จากหยาดเหงื่อ..แรงกายแรงใจ

หากเป็นคนสวนในคฤหาสน์ น้ำฝนอาจผ่อนเบาแรงงาน..การรดน้ำพรวนดิน หรือการดูแล ไม้ประดับราคาแพง ของ เจ้านาย ลงได้บ้าง

แต่ คนงาน ประเภทที่เรียกกันว่า มนุษย์เงินเดือน หรือ นักเรียน-นิสิต-นักศึกษา ที่ต้องแต่งตัวไปทำงาน หรือไปเรียนแต่เช้ามืด การเผชิญหน้ากับ น้ำฟ้า ในฤดูกาลนี้ย่อมหมายถึง ความไม่สะดวก และ อุปสรรค ที่จะตามมานานาชนิด ยิ่งเป็นคนไร้บ้านแถวสนามหลวงด้วยแล้ว อาจถึงกับต้องอพยพ หลบไปหาที่คุ้มหัวนอนในสถานที่อื่นเอาเลย

ไม่ต้องกล่าวถึงแม่ค้าหายเร่แผงลอย ที่ฤดูกาลนี้ลดทอนทั้งลูกค้าและค่าตอบแทนจากน้ำพักน้ำแรงกระทั่ง ทุนหายกำไรหด แทบหมดเนื้อหมดตัว

พูดง่ายๆ ก็คือ ชีวิตเมือง โดยเฉพาะชีวิตของคนเบี้ยน้อยหอยน้อยและมิได้ทำการเกษตร ฤดูฝนคล้ายจะเป็นศัตรูต่อความผาสุกทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ดังที่บอกมาข้างต้น ตลอดจนของแถม ประเภทน้ำท่วมขัง หรือ ฝนตก-รถติด แฝดผิดฝาผิดตัวที่ดูจะสมัครสมานสามัคคีกันเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่ากี่รัฐบาล กี่ผู้ว่าฯ ก็ดูจะไม่มีหน้าไหนแยก ฝนไทย กับ รถยนต์ในกรุงเทพฯ ออกจากกันได้...เรียกว่าตกทีไรติดทีนั้น หรือตกต่อเนื่องกันเมื่อไร ก็ท่วมได้ฉับพลันเมื่อนั้น...ตลอดมา

เมื่อรักจะอยู่ในเมืองใหญ่ และไม่สามารถ หยุดฟ้า-ห้ามฝน ตามที่ตนปรารถนา อีกทั้งยังไม่มีกำลังเพียงพอจะอำนวยความสะดวกให้กับตัวเองประเภท ละทิ้งธรรมชาติ ได้ ชาวพุทธเมืองกรุง คงต้องหันมา ทำความรู้จัก และ ทำใจ กับฤดูกาลนี้ไปพลางๆ

เคยสังเกตไหม ว่าครั้งเป็นเด็กๆ เมื่อยังไม่เติบใหญ่ บ่อยครั้งที่ใจเรามิได้รังเกียจ น้ำฝน เช่นตอนที่โตแล้ว ว่ามาอย่างนี้มิได้ยุส่งให้เลิกห่วงสวยห่วงหล่อ หรือทำตัวเป็นนางเอก-พระเอกมิวสิควิดีโอ เดินตากฝนเล่น แต่อยากให้ทบทวนหวนระลึกไปถึงวันเก่าๆ บ้าง

ว่า...ครั้งสุดท้ายที่ ใจยอมเปียกฝน นั้น มีองค์ประกอบเช่นใด

ท ุกคนทราบดีว่าฝนนั้นมาจากธรรมชาติ เป็นผลของฤดูกาลและห้วงเวลา มี เหตุ-ปัจจัย ที่ควบคุมได้ยาก แต่ใช่หรือไม่ว่า..ในทางตรงกันข้าม นับวันที่เราควบคุมอะไรๆ ได้มากขึ้น หรือมากมาย เราก็จะยิ่งหงุดหงิดรำคาญใจในสิ่งที่เรามิอาจควบคุมสั่งการได้ด้วยตนเอง หรือด้วยเทคโนโลยีที่เรามีมากเท่านั้น

บ่อยครั้ง เราจึงเป็นทุกข์ หงุดหงิด รำคาญใจ ในความรู้สึก มากกว่าที่จะ เดือดร้อน เพราะฝนโดยตรง หรือด้วยสาเหตุจากฝนอย่างแท้จริง

น ี่นับว่าเป็ทุกข์สองชั้นโดยแท้ กล่าวคือ ฝนตกจนกายเป็นหวัด เสื้อผ้า รองเท้า หรือรถราเลอะเทอะ กระทั่ง ไปทำงาน-กลับบ้านล่าช้า ฯลฯ..แล้ว ยังต้องเป็นทุกข์ทางใจ ที่ ฝนตกไม่ได้อย่างใจ แถมมาอีก

ไหนๆ ปีนี้พระโคทำนายว่าน้ำท่าอุดมสมบูรณ์แล้ว ทำไมไม่ทำในใจให้แยบคายดูสักที พิจารณาดีๆ ว่าทุกครั้งที่เปียกฝน นั้น...

ทุกข์เพราะฝน หรือทุกข์เพราะ เผลอ ใจตนอยู่ร่ำไป...

eXTReMe Tracker