ธรรมะคนกรุง

มุมมองด้านศาสนธรรมกับชีวิตคนเมืองหลวง..ประเทศไทย


จาก.."สวัสดีกรุงเทพฯ" รายสัปดาห์
My Photo
Name:
Location: สวนเมตตาธรรม, เชียงใหม่, Thailand

Saturday, April 30, 2005

ทุจริต

...................................


ข่าวคราวการทุจริตอันเนื่องอยู่กับสนามบินหนองงูเห่า หรือสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ “สุวรรณภูมิ” มีออกมาให้รับรู้รับทราบกันเป็นระยะ นับแต่ริเริ่มจะก่อสร้างขึ้น กระทั่งปัจจุบัน ที่รัฐบาลนี้กำลังโหมระดมสรรพกำลัง เพื่อให้เสร็จทันใช้ในยุคสมัยของพวกเขา(และเธอ)มีอำนาจวาสนา

ด้วยมุมมองทางศาสนาและสามัญสำนึกแห่งความถูกต้อง นี่ออกจะเป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่รัฐและองคาพยพของรัฐปล่อยให้เรื่องราวอันเป็นอกุศลเช่นนี้เกิดขึ้นอย่างต ่อเนื่อง และดำรงอยู่เนิ่นนาน โดยมิได้ชำระสะสางให้เกิดความโปร่งใสและขาวสะอาด ตามหลักธรรมาภิบาล หรือรัฐาภิบาลก็แล้วแต่จะกำหนดเรียก

ยิ่งในคราวนี้ด้วยแล้ว ข่าวจากสื่อระบุว่าวงเงินทุจริตอาจสูงถึงเกือบสามพันล้านบาท โดยเกี่ยวเนื่องกับบริษัทคู่ค้า นายหน้า รัฐบาลไทย และหน่วยงานรัฐต่างประเทศ กระทั่งกลายเป็นเรื่องอื้อฉาวระดับโลกไปในที่สุด

และที่น่าอับอายยิ่งก็คือ ๓ ฝ่ายแรก(รวมรัฐบาลไทย หรือคนในรัฐบาลไทย)ตกที่นั่ง “ผู้ร้าย” ขณะที่ฝ่ายหลัง(หน่วยงานในกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา)กลายเป็น “พระเอก” ทั้งที่หากคิดกันง่ายๆ ตื้นๆ ก็พอจะอธิบายแบบมิจฉาทิฏฐิได้ว่า ฝรั่งเขาไม่น่าทักท้วง เพราะแม้จะจ่ายใต้โต๊ะแต่บริษัทของเขาก็ยังขายของได้ สามารถนำเงินตราต่างประเทศเข้าบ้านเข้าเมือง

เรื่อง “ยอมเสียทุกอย่าง” เพื่อให้ได้เงินเข้าประเทศนี่คงคุ้นหูคุ้นตาผู้อ่านมาบ้างไม่มากก็น้อย เพราะบางประเทศนั้นผู้นำพยายามพูดย้ำแล้วย้ำอีกเช่นนี้อยู่เสมอ เพื่อให้คนในประเทศ “เชื่อ” และ “สมยอม” ให้ได้กับแนวคิด “เงินเป็นใหญ่” เช่นนี้

ก็ประเทศที่ยอมให้ “สนามบินหนองงูเห่า” เกี่ยวพันกับทุจริตมาได้กว่าสี่สิบปีโดยไม่มีการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบอย่าง จริงจังนั่นล่ะ จะเหลียวหน้าเหลียวหลังไปหาใคร…

พุทธศาสนาสอนไว้ว่า “ทุจริต” คือ ความประพฤติชั่ว, ความประพฤติไม่ดี มี ๓ คือ ๑. กายทุจริต ประพฤติชั่วด้วยกาย ๒. วจีทุจริต ประพฤติชั่วด้วยวาจา ๓. มโนทุจริต ประพฤติชั่วด้วยใจ

ฟังดูก็เหมือนจะเป็นเรื่องของปัจเจกชน กล่าวคือ เป็นเรื่องของ “แต่ละบุคคล” จะทำ พูด หรือคิด เอาโดยอิสระ ตัวใครตัวมัน เรียกว่า “เลว” กันโดย “ส่วนตัว” ว่างั้นเถอะ !

แต่ถ้าเอากรณี “สนามบินหนองงูเห่า” เข้ามาจับ-เข้ามาเทียบ จะเห็นนัยบางประการที่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น เพราะเห็นได้ถึงความสืบเนื่อง-ยาวนาน ความสัมพันธ์โยงใย และต้องใช้ “โครงข่าย” ที่ซับซ้อน ทั้งฝ่าย “ทุจริต” และ “สืบสวน-ปราบปรามการทุจริต” ประกอบกันไป

นั่นก็คือ มี “โครงสร้าง” อันเอื้อและไม่เอื้อต่อการ “จะทุจริต” หรือ “จะไม่ทุจริต” ตลอดจน “จะปราบ” หรือ “จะไม่ปราบทุจริต” เกี่ยวข้องอยู่ด้วยเสมอ

นี่จึงเป็นเรื่องสำคัญและท้าทายอย่างยิ่งต่อความเป็น “ชาวพุทธ” ว่าเราจะยกภาระและความรับผิดชอบในเรื่องกุศล-อกุศล, สุจริต-ทุจริต ความดี-ความเลว ฯลฯ ไปอยู่บนบ่าบนไหล่ของ “ปัจเจกบุคคล” เพียงสถานเดียว

หรือจะเริ่มต้น “ปรับโครงสร้าง” เพื่อ “อุดหนุนคนดี” กันเสียที

eXTReMe Tracker

Monday, April 25, 2005

“โอกาส” ใน “วิกฤตชาวพุทธ"

...................................................


“วิสาขบูชา” กับ “โอกาส” ใน “วิกฤตชาวพุทธสยาม”

ก่อนสงกรานต์เล็กน้อย “พุทธศาสนิกชนชาวสยาม” ก็ได้รับข่าวอันน่าตื่นตาตื่นใจอีกครั้ง เมื่อศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ในฐานะองค์การมหาชน หน่วยราชการรูปแบบใหม่ ที่ว่ากันว่าจะมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวในการบริหารจัดการสูง(กว่าทั้งรูปแ บบหน่วยงานรัฐเดิมๆ ที่เคยมีมา) จะร่วมกับสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และองค์กรภาคีต่างๆ จัดงาน “วันวิสาขบูชา” ให้ยิ่งใหญ่และเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ภายใต้แนวคิด และความริเริ่มของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในฐานะชาวพุทธ นี่ย่อมเป็นสิ่งที่ควรนิยมยินดี และมีมุทิตา ตลอดจนอนุโมทนาสาธุการ ไปกับความเป็นพุทธศาสนิกชนที่แข็งขันและเอาการเอางานยิ่ง ของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี และคณะทำงานฝ่ายต่างๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ที่ท่านนายกฯ และพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ในฐานะประธานศูนย์คุณธรรมฯ ท่านแม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต แห่งเสถียรธรรมสถาน ตลอดจน น.พ.จักรธรรม ธรรมศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ให้สัมภาษณ์ตามที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ว่าจะนำเอาแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ เกี่ยวกับการจัดงานวันวิสาขบูชามาปฏิบัติให้เป็นจริง ผู้คนที่เคยศึกษาผลงานของพระมหาเถระท่านนี้ ก็มีแต่ความยินดีปลาบปลื้มจิต ที่ภาครัฐหันกลับมาใฝ่ใจในทางที่ตนเห็นมาก่อน ว่าถูกว่าควร

แต่ถัดมาไม่นาน การณ์กลับกลายเป็นว่า โดยกระบวนการทำงาน และวิธีปฏิบัติ ยังมีความไม่เข้ารูปเข้ารอยกันอยู่ กล่าวคือ มหาเถรสมาคม ในฐานะองค์กรปกครองสงฆ์สูงสุด ได้ทักท้วงถึงความเหมาะสม ที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ซึ่งมีความสัมพันธ์แนบชิดกับ “สันติอโศก” ที่มหาเถรสมาคมเคยประกาศนียกรรม และได้ทำปัพพาชนียกรรมมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน จะเข้ามาเป็นตัวตั้งตัวตี ตลอดจนแต่งตั้งให้มี “สมณะ” บางท่านจากสำนักนั้น ร่วมเป็นกรรมการจัดงานอยู่ด้วย

ต่อกรณีนี้ หลายฝ่ายหลายกลุ่มต่างออกมาร่วมแสดงทัศนะ บ้างก็ยกเอามาเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ กระทั่งสื่อบางประเภทถึงกับพาดหัวข่าว ทำนองว่า “แย่งกันจัดงานวันวิสาขบูชา” เอาเลยทีเดียว ทั้งที่จะว่าไปแล้ว นี่ออกจะเป็นการแสดงบทบาทในการ “ตรวจสอบและทักท้วง” อย่าง “ทันทีทันควัน” อันน่าสนใจยิ่งของ “มหาเถรสมาคม” เสียด้วยซ้ำ เพราะก่อนหน้านี้หลายครั้งหลายครา องค์กรปกครองสงฆ์แห่งนี้มักขึ้นชื่อลือชาและตกเป็นจำเลยที่หนึ่งของสังคม ในด้านความอืดอาดล่าช้ากว่าใครๆ ในแทบทุกประเด็นขัดแย้งของวงการพระพุทธศาสนาสยาม

จะว่าไปแล้ว แทนที่จะต้องยกประเด็น “เอา-ไม่เอา..ใครต่อใคร” มาร่วมจัดงาน หรือแทนที่จะมีการถกเถียงกันว่า “จัดหรือไม่จัด” สิ่งหนึ่งที่ควรแก่การหยิบยกขึ้นมากล่าว น่าจะถือเอางานนี้เป็นโอกาส “เรียนรู้”, “สอบทาน” และช่วยกัน “วางบรรทัดฐาน” เสียมากกว่า ว่า.. “ชาวพุทธ” ควรมีท่าทีและปฏิบัติต่อกรณี “ความเห็นไม่ตรงกัน” ทำนองนี้ได้อย่างไร

และนอกไปจากนั้น ก็ควรถือเอาโอกาสนี้ “เตรียมการ” เพื่อ “ปัด” และ “กวาด” บ้านตนเอง เสียให้เรียบร้อย ก่อนจะมี “เพื่อนชาวพุทธ” นานาประเทศมาร่วม “งานบุญระดับโลก” ดังที่คาดกันไว้

ความขัดแย้งในอดีต(หรือในปัจจุบัน)เป็นเช่นไรมิใช่เรื่องที่น่ารังเกียจ หากจะปรองดองและร่วมกันเผชิญหน้ากับข้อ “เท็จ-จริง” เหล่านั้นด้วยสติที่มีปัญญากำกับ ทั้งยังมีจิตที่พร้อมจะมนสิการเพื่อหาทางออก

“วิกฤต” นั้นจะว่าไปแล้ว ก็เป็นอีกด้านหนึ่งของเหรียญ ที่มี “โอกาส” อยู่ตรงกันข้าม สำคัญแต่ว่า เราจะใช้มัน “เสริมปัญญา” หรือ “สร้างปัญหา” เท่านั้นเอง

eXTReMe Tracker

Tuesday, April 19, 2005

มหกรรมกลางกรุง

.................................................


ในฐานะของคว ามเป็น “มหานคร- -แบบไทยๆ” ดูคล้ายกับว่า “ทุกอย่าง” จำเป็นต้องรวมศูนย์ และกระจุกตัวอยู่ที่ “กรุงเทพฯ” อย่างไม่อาจปฏิเสธได้

โดยที่..แทบไม่มีใครใส่ใจจะตั้งคำถาม ว่า..ทำไม? หรือ เพราะเหตุใด? จึงต้องเป็นอยู่และเป็นไปเช่นนั้น

ว ่ากันตั้งแต่ศูนย์กลางแห่งอำนาจอธิปไตย ทั้งบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ ซึ่งเมื่อผนวกเอา “หัวใจและสมอง” ของราชการทั้งระบบ ระดับกระทรวง ทบวง กรม กอง แผนก ฝ่าย สำนัก องค์การ ฯลฯ มารวมอยู่ด้วยกัน

นั่นก็เท่ากับว่า “กรุงเทพฯ” ยึดโยงและขมวดปมอำนาจ “ในระบบ” ทั้งหมด มารวมไว้ในที่เดียวกัน

แ ละด้วยเหตุนั้นเอง จึงส่งผลให้ระบบอื่นๆ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา อุตสาหกรรม ตลอดจนวัฒนธรรม และการค้าพาณิชย์ ฯลฯ ที่จะมากจะน้อย ก็จำเป็นต้อง “ติดต่อ-ประสานงาน-ขออนุญาต-ปฏิสัมพันธ์” กับระบบดังกล่าว ต้องส่งตัวเองมาโคจรอยู่ใกล้ๆ หรือรอบๆ “ดาวฤกษ์มหานคร” ในฐานะที่ตนเป็นเพียง “ดาวพระเคราะห์” ซึ่งปราศจาก “แสงสว่าง” ในตัวเอง

จ ึงแทบไม่ต้องถามอีกต่อไป ว่าทำไมผู้คน ๑ ใน ๖ ของประชากรทั้งประเทศ(ในทะเบียนประมาณ ๖ ล้านคนเศษ นอกทะเบียนอีกกว่า ๔ ล้าน) จึงต้องมาแออัดยัดเยียดเสวย “วิบากกรรม” อยู่ด้วยกัน

“ วิบากกรรม” ซึ่งอยู่ในฐานะ "มหกรรม" คือ “กรรมหนัก” หรือ “กรรมใหญ่” ที่มิใช่ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ก่อ และ/หรือ เป็นผู้สร้าง ได้เพียงลำพัง…

ไ ม่กี่วันที่ผ่านมา “กรุงเทพมหานคร” ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ได้สนองนโยบายของรัฐ หรือรัฐบาล ด้วยการร่วมกับหลายฝ่าย จัดงาน “มหกรรม” อันเนื่องด้วย “เทศกาลสงกรานต์” ขึ้นอย่างโอ่อ่าอลังการกลางกรุงเทพฯ จนเป็นที่ฮือฮาว่า "ยิ่งใหญ่ตระการตา" กว่าครั้งไหนๆ หรือไม่เคยมีใครจัดมาก่อน โดยมีผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและคณะผู้บริหารเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวนั้น อย่างพร้อมหน้า

นี่ออกจะแตกต่างจากมุมมองทางพุทธศาสนาอยู่ไม่น้อย ด้วยว่า “มหกรรม” ที่กระทำกันอยู่ในทางที่มุ่งความใหญ่โตโอ่อ่า ถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นเพียง “บางแง่มุม” หรือ “บางด้าน” ของ “กรรมใหญ่” หรือ “มหกรรม” โดย "ภาพรวม" เท่านั้น

ในฐานะชาวพุทธย่อมต้องมองให้เห็นความ “เป็นมา-เป็นไป” อย่างถี่ถ้วนและรอบด้าน ว่า “วงจร” ของ "กรรม" หรือกระทั่ง “มหกรรม” อันประกอบด้วย “กิเลส-กรรม-วิบาก” นั้น

“เราทั้งหลาย” จัดวาง “ตนเอง” และ “ผู้คนรอบข้าง” ไว้ที่ใด

ห าไม่แล้ว ก็จะเสียเวลา เปลืองเปล่า และมัวเมาอยู่ด้วยการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หรือจับงูที่ปลายหาง สร้าง “กรรมสนุกสนาน” เพื่อกลบเกลื่อน “วิบากกรรมร่วมของสังคม” หรือ “ความเน่าเฟะของเมืองใหญ่" อยู่ร่ำไป

แก้ปัญหาใหญ่ๆ เรื่องเร่งด่วน หรือ "เหตุจำเป็น" ของ "กรุงเทพมหานคร" ไม่ได้เสียที…

eXTReMe Tracker

Sunday, April 03, 2005

อุบัติเหตุ..กับ..เทศกาล

..............................


ถึงขณะนี้คงได้ทราบกันดีแล้ว ว่า “สงกรานต์” ที่ผ่านมาพร่าผลาญ “ชีวิต” ไปมากน้อยแค่ไหน… ว่าไปแล้วก็น่าประหลาด ที่เราต้องพูดจาเรื่องทำนองนี้กันทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสิบกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่ง “สงกรานต์” กลายเป็น “วันหยุดต่อเนื่อง” ยาวนานที่สุด

ไม่นับจำนวนผู้เสียชีวิต ก็ต้องมานับตัวเลขผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีไม่น้อยที่ต้องพิการ..ทุพพลภาพ ไปตามๆ กัน

น ี่ยังมิได้กล่าวถึง จำนวนเงิน-งบประมาณ ที่ต้องหมดไปกับการรณรงค์ให้ระมัดระวัง มิให้พลั้งเผลอ- -ประมาท หรือการเรียกร้องให้งดเว้นเครื่องดื่มประเภท สุรา-เมรัย ตลอดจนสิ่งมึนเมาอื่นๆ ซึ่งระยะหลังต้องตกเป็นจำเลยอันดับต้นๆ กระทั่งถูกพิพากษาว่าเป็น “ฆาตกร” เอาเลยด้วยซ้ำ หลังจากเราเคยกล่าวหาว่า “ความประมาท” เป็นต้นตอของความสูญเสียดังกล่าวมาแล้วก่อนหน้านั้น

แน ่ละ ที่ว่า “เครื่องดองของเมา” และ “ความประมาท” เป็นที่มาของการ “ขาดสติ-สัมปชัญญะ” แต่แน่ใจแล้วหรือ ว่าทั้งสองส่วนนี้เป็น “ต้นเหตุ” ที่แท้จริง?

ใช่หรือไม่ว่า ผู้คนจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหลออกไปจากเมืองกรุงทุกครั้งที่ถึงเทศกาลสำคัญ หรือมีวันหยุดต่อเนื่อง คือ “ลูกหลาน” ของชาวชนบท หรือชุมชนเกษตรกรรม ที่ปัจจุบันล่มสลาย จน “แรงงาน” แทบทุกคนต้อง “หนีอดตาย” เข้ามาทำงาน “รับจ้าง” ในเมืองศูนย์กลางของประเทศ

ใช่หรือไม่ว่า ผู้คนจำนวนมหาศาลดังกล่าวนั้น วันธรรมดา..ชีวิตปกติ พวกเขา(และเธอ)ต้องใช้เวลาทั้งหมดไปกับการดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ชักหน้าไม่ถึงหลัง กระเบียดกระเสียร จำต้องอดทนตกทุกข์ได้ยาก อยู่ใน “มหานคร” อย่างแทบไม่มีอนาคต ถึงช่วงเทศกาล โอกาส - เวลา และการโหยหา วิถีชีวิตอันคุ้นเคย และการได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาญาติมิตร ก็ผลักดันให้คนเหล่านั้น “คืนถิ่น”

เมื่อผนวกเข้ากับ “ชนชั้นกลาง” ซึ่งแม้จะตัดขาดรากเหง้า หลบหนีพ้นวิถีดั้งเดิมของปู่ย่าตายายออกมาจาก “บ้านนอก” แล้ว แต่วิถีการผลิตและแก่งแย่งก็สร้างความเดือดร้อนลำเค็ญแสนสาหัส จนทุกครั้งที่พอมีเวลาก็ต้อง “หนีเมือง” ไป “ชาร์จแบตเตอรี่” กันเสมอๆ

ร วมสองกลุ่มเข้ากับการจราจรปกติ จำนวนผู้คนและรถราจึงทบทวีคูณขึ้นทุกปี ถึงตอนนี้ “ความสุข-สนุก”, “ความเมามาย” และ “ความประมาท” อันเป็นตัวกระตุ้นสุดท้าย ก็เติมเต็มอาการ “บาดเจ็บล้มตาย” ให้สมบูรณ์พร้อมสรรพ ตามที่เคยโฆษณากรอกหูกรอกตาไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่า “ความสุข” นั้น “ดื่ม” ได้ “การเฉลิมฉลอง-เทศกาลสำคัญ” ต้องมี “สุรายาเมา”

ตราบใดที่การรณรงค์และการแก้ปัญหายังแยกส่วน ตราบใดที่ทุนนิยมบริโภคนิยมยังถูก “ละไว้” ไม่ยอมให้ถูก “พิพากษาลงโทษอย่างจริงจัง” ด้วยข้ออ้างเพื่อ “พัฒนาการทางเศรษฐกิจของชาติ” ก็ป่วยการที่จะร้องแรกแหกกระเชอกล่าวโทษ “ผู้คนปลายแถว” ที่นับวันจะเกิดมาเพื่อ “ตกเป็นเหยื่อ”

เพราะไหนจะถูกขับไล่ออกมาจากถิ่นเกิด ถูกใช้เป็นแรงงาน ถูกหลอกให้บริโภค ถูกหลอกให้ฆ่าตัวตาย ท้ายสุด ยังต้องถูกประณาม ว่าพวกเขา(และเธอ)ทั้งหลาย เป็นเหตุให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อุบัติเห ตุนั้นเป็นเรื่องเกินกว่าจะคาดคิด ทุนนิยมบริโภคนิยมต่างหากที่เป็น “อุปัทวะ” ซึ่งภาษาวัดวา แปลว่า อุบาทว์, อัปรีย์, จัญไร เป็นสิ่งไม่ดี และไม่เป็นมงคล จนจำเป็นต้องกำจัดให้หมดสิ้นไปด้วย “ธรรมะ” ของพระบรมศาสดา

eXTReMe Tracker

“วัด” กับ “บ้าน” และ “เมือง”

.................................................


ไม่กี่วันมานี้ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นไปอีก ๓ บาท ใกล้ลิตรละ ๒๐ บาทไปทุกขณะ และมีแนวโน้มที่จะสูงไปกว่านั้นด้วยซ้ำ ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ

เมื่อ “ราคาน้ำมัน” ขยับตัว ราคาสินค้าอื่นๆ ก็ขยับตามทุกทีไป บางชนิดถึงกับกะเก็งแนวโน้ม แล้วขึ้นราคาไปล่วงหน้าเอาเลย มิไยที่ใครจะเดือดร้อนลำเค็ญแค่ไหนก็ตาม

กล่าวโดยสรุปก็คือ “อะไรต่อมิอะไร” ขึ้นราคาแทบทั้งสิ้น เว้นไว้แต่ “ชีวิต” และ “เงิน” เท่านั้น ที่นับวัน “มูลค่า” จะน้อยลงไปทุกที…

บางคราวเมื่อพูดเรื่อง เศรษฐกิจ-การเมือง คนวัดคนวา ก็ขัดหูขัดตา หาว่าพระสงฆ์องค์เณรไม่ควรข้องแวะกับเรื่อง “โลก-โลกย์” ทั้งด้วยเพศภาวะและความเหมาะควร แต่เอาเข้าจริง ด้วย อิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท “วัด” และ “บ้าน” ตลอดจน “เมือง” และ “โลก” ก็ดูจะหนีจากกันไม่พ้น

เดิมเมื่อวัดขยับก็สะเทือนถึงบ้าน ครั้นเมื่อบ้านขยับบ้าง วัดก็รับผลกระทบไปเต็มๆ

แต่ทุกวันนี้ดูจะต่างกันออกไป วัดจะขยับอย่างไรบ้านแทบมิได้เหลียวมอง แต่พอ โลก-เมือง-บ้าน “ขยับ” วัดต่างหากที่รับ “ผลกระทบ” ไปเต็มๆ ไม่เชื่อก็ลองไปถามตัวเลขเงินบริจาคตามวัดหรือสำนักดังๆ ดู ว่าเศรษฐกิจเดี๋ยวนี้ ทำให้ “ยอด” ที่ท่านได้ “ตก” ลงไป แค่ไหน..อย่างไร?

ส่วนที่เกี่ยวกับพระ หากเป็น “คนนอก” ก็ไม่น่าจะไปถามเรื่องผลกระทบจากราคาน้ำมันกับ “พระผู้ใหญ่” นักดอก ประเดี๋ยวท่านจะ “ดุ” เอา ที่ดันไปสอดรู้สอดเห็นเรื่องรถเรื่องรา “หรูๆ” ของท่านเข้า เว้นแต่ที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษ ท่านก็อาจจะบ่นให้ฟังบ้าง ประสาคนคุ้นเคย…

แต่เรื่องความ “ไม่สัปปายะ” ด้านการอยู่การกินของพระหนุ่มเณรเด็ก ที่ต้องเดือดร้อนจากปัจจัยสี่ที่ลดน้อยถอยลงตามภาวะ “หากินยาก” ของญาติโยม เห็นจะไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงให้มากความ

เพราะอย่างไรก็ไม่เป็นที่สนใจ ทั้งจากพระ(ผู้ใหญ่)และญาติโยม(ทั่วๆ ไป)อยู่แล้ว…

เอาเข้าจริง สภาพผันผวนเช่นปัจจุบัน คงยากจะพูดว่า “เศรษฐกิจ” ของประเทศนี้ ดีหรือเลว เพราะระบบอันซับซ้อน และวิธีคำนวนค่าเฉลี่ยอัน “ไม่เป็นธรรม” ที่ว่าๆ กัน มันหลอกหูหลอกตาผู้ไม่สันทัดกรณี หรือไม่ชำนาญการอยู่เสมอ

ขณะที่ ดัชนีความเติบโตทางเศรษฐกิจสูงลิบลิ่ว และรายได้ประชาชาติมากขึ้นและมากขึ้น ดูเหมือน “ค่าแรงขั้นต่ำ” หรือรายได้ของ “มนุษย์เงินเดือน” ก็ยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลังไปทุกที ประจวบเข้ากับ “บัตรเครดิต” และ “เครดิต” ที่หาง่ายทำง่าย ทั้ง “เงินนอกระบบ” ก็ใช้คล่อง(เพราะรัฐบาลท่านส่งเสริม “ให้คนเป็นหนี้” เพื่อกระตุ้นการบริโภค อยู่เป็นระยะๆ)เข้าด้วยแล้ว คนเดินดินกินข้าวแกงจะบังอาจไป “สู่รู้” เรื่องระบบเศรษฐศาสตร์ ระบบการเงินการคลัง และระบบการตลาด กับ “ผู้รู้” ที่ท่าน “มีและครองอำนาจวาสนา” ปกฟ้าป้องเมือง ก็ดูจะกระไรอยู่

ภาวะเช่นนี้ ในฐานะศาสนิกชน ทั้งวัด-บ้าน และเมือง “จะอยู่ร่วมกันอย่างไร?” จึงเป็นคำถามสำคัญอีกประการหนึ่ง หากพากัน “ก้าวข้าม” พ้นความเป็น “ตัวกู” และ “ของกู” ออกมาได้

เพราะจะว่าไปแล้ว ภารกิจที่สำคัญของ “คนมีศาสนา” น่าจะอยู่ที่ “ช่วยกันดับทุกข์” มากกว่าจะมัวกล่าวโทษกันและกันมิใช่หรือ?

ถ้าการแยกกันทำให้ “อกุศล” งอกงาม การรวมตัวกันเพื่อสร้าง “กุศล” ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ควรกระทำอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการ “ช่วยกัน” ทำความถูกต้อง ตรง และจริง ให้ปรากฏ เพราะถึงที่สุดแล้ว พุทธศาสนาเกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือให้ “ร่วมกันสร้างสุข”

มิใช่เพื่อสร้างความแตกแยกและสร้างทุกข์ อย่าง ทุนนิยม – บริโภคนิยม ซึ่ง “บางคน” พยายามชักนำและปลูกฝังให้ “จำต้อง” เป็นไป

eXTReMe Tracker